ความล้มเหลวของการจัดทำแผนแม่บทของ สศช. อาจจะทำให้การพัฒนาภาคใต้ตอนล่างล่าช้าไปอีก 5 ปี - ข่าววันนี้

Post Top Ad

Share This

ความล้มเหลวของการจัดทำแผนแม่บทของ สศช. อาจจะทำให้การพัฒนาภาคใต้ตอนล่างล่าช้าไปอีก 5 ปี

Share This




บทความ โดย.. อาทิตย์ อโณทัย


การรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนหรือผู้มีส่วนได้เสียในโครงการ “เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมแห่งอนาคต” หรือ “นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” ที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ได้ว่าจ้างให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.หาดใหญ่) เป็นผู้จัดเวทีในการรับฟังความคิดเห็น ซึ่งใช้เวลาเกือบ 3 ปี การจัดเวทีในการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนตามแผนการจัดทำการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment) หรือ SEA ซึ่งมีบทสรุปหรือปิดเวทีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา

ขั้นตอนต่อไปเป็นหน้าที่ของ สศช.ที่จะดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบของ สศช. ก่อนที่จะนำเสนอแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อใช้เป็นแผนแม่บทในการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป

โครงการเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมแห่งอนาคตเป็นโครงการเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มาจากศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ในสมัยที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมี “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ที่มีมติให้ดำเนินการในโครงการดังกล่าว เพื่อแก้ปัญหาการพัฒนาเศรษฐกิจของจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้พ้นจากความยากจน การว่างงาน และการตกงานของประชาชนและผู้ที่จบการศึกษาแต่ไม่มีงานทำ

โครงการนี้ ศอ.บต.ได้มีกระบวนการทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ พร้อมทั้งเปิดเวทีฟังความคิดเห็นมาแล้วครึ่งทาง แต่ถูกเอ็นจีโอและประชาชนซึ่งส่วนใหญ่มีอาชีพประมงชายฝั่งในพื้นที่ไม่เกิน 200 คนคัดค้าน ตั้งแต่บุกเข้าล้มเวทีการรับฟังความคิดเห็น และการชุมนุมที่ศาลากลางจังหวัดสงขลา กางมุ้งนอนหน้าศาลากลาง

และสุดท้ายคือการชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ตัดสินใจให้ ศอ.บต.ยุติบทบาทในการดำเนินการกับโครงการนี้ และมอบให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้ดำเนินการโดยการนับหนึ่งใหม่ นั่นคือการทำ SEA เพื่อการรับฟังความคิดเห็น โดยว่าจ้างให้ มอ.หาดใหญ่เป็นผู้ดำเนินการ

โดยข้อเท็จจริง โครงการเมืองต้นแบบฯ หรือนิคมอุตสาหกรรมจะนะ เป็นโครงการที่ดำเนินการโดย “เอกชน” นั่นคือ บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ในวงเงินการลงทุนชั้นต้นที่ 600,000 ล้านบาท 

เป็นโครงการที่เป็นการทำอุตสาหกรรมสีเขียว เป็นนวัตกรรมใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งนอกจากเป็นอุตสาหกรรมที่ทันสมัย ยังมีโครงการผลิตไฟฟ้าและท่าเรือน้ำลึกเพื่อเป็นประตู (Gateway) แห่งที่ 3 ของประเทศไทยเพื่อการส่งออก ซึ่งเป็นที่ต้องการของกลุ่มทุนที่เข้ามาลงทุนในภาคใต้ตอนล่าง ที่จะได้ไม่ต้องขนตู้คอนเทนเนอร์โดยรถบรรทุกและรถไฟไปยังท่าเรือปีนัง ประเทศมาเลเซีย

และโครงการนี้ ประชาชนในอำเภอจะนะและใกล้เคียง รวมทั้งนักลงทุนในจังหวัดสงขลาและใกล้เคียง เห็นด้วยกับการที่จะมีนิคมอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและท่าเรือน้ำลึกเพื่อการส่งออก โดยเฉพาะประชาชนในอำเภอจะนะ ที่ออกมาสนับสนุนโครงการดังกล่าวมีมากกว่าประชาชนที่คัดค้านอย่างเทียบกันไม่ได้ 

เพียงแต่รัฐบาลในขณะนั้นให้ความสำคัญกับเสียงของผู้คัดค้านที่มีเพียงหยิบมือ และละเลยต่อเสียงสนับสนุนที่มีอย่างท่วมท้น จนทำให้โครงการดังกล่าวต้องล่าช้ามาถึง 4-5 ปี ซึ่งนับเป็นการเสียโอกาสของประชาชนส่วนใหญ่ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเสียโอกาสในการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยทิ้งให้จ่อมจมอยู่กับการด้อยพัฒนาและกับปัญหาความรุนแรงในการแบ่งแยกดินแดน

และแม้ว่า สภาพัฒน์ฯ จะได้มีบทสรุปในการจัดทำแผน SEA เสร็จสิ้นแล้วก็จริง แต่จากรายละเอียดและข้อเท็จจริงในการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ก็ยังมีข้อบกพร่องที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่จะใช้เป็นข้อมูลที่ถูกต้องในการกำหนดพื้นที่หรือกำหนดแผนพัฒนา

แม้ว่าจะมีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็น 40 กว่าครั้ง มีผู้ร่วมเวที 4,000 กว่าคน แต่ผู้ที่ถูกเชิญไปแสดงความคิดเห็นล้วนเป็นคนหน้าเดิมที่นำโดยเอ็นจีโอ และผู้ที่นำเสนอความคิดเห็นก็เป็นเอ็นจีโอและเป็นตัวแทนที่จัดตั้งโดยเอ็นจีโอ ซึ่งมีธงในการแสดงความคิดเห็นโดยการไม่ต้องการให้มีนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ของอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา มาตั้งแต่ต้น

ส่วนกลุ่มผู้ที่สนับสนุนไม่ได้มีส่วนในการแสดงความคิดเห็น เพราะเป็นชาวบ้านทั่วไปที่ไม่สามารถสะท้อนถึงข้อเท็จจริงตามหลักวิชาการ ไม่เหมือนกับชาวบ้านที่คัดค้านที่ถูกฝึก (train) จากเอ็นจีโอจนนำเสนอแบบนกแก้วนกขุนทองที่มองโลกสวย ซึ่งไม่ได้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงของสังคมโลก

ที่สำคัญ ในรายงานฉบับดังกล่าวของสภาพัฒน์ฯ ก็ไม่มีรายละเอียดของผู้ที่สนับสนุนที่เป็นนักลงทุน ทั้งในเรื่องของท่าเรือน้ำลึกและในเรื่องของโลจิสติกส์ที่เป็นความต้องการให้เกิดขึ้นในจังหวัดสงขลา

ดังนั้น การจัดทำ SEA ของสภาพัฒน์ฯ โดยการว่าจ้าง มอ.หาดใหญ่ในครั้งนี้ จึงเป็นการสูญเงินงบประมาณและเสียเวลาโดยไร้ประโยชน์ เพราะเป็นแผน SEA ที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและสังคมปัจจุบันของพื้นที่ ซึ่งไม่สอดคล้องอย่างไรนั้น ผู้เขียนจะได้นำเสนอในรายละเอียดในครั้งหน้า เพื่อให้เห็นถึงความบกพร่องที่อาจจะโดยสุจริตหรือโดยตั้งใจของ สศช. ที่ไม่เห็นด้วยและไม่ต้องการให้มีการพัฒนาในพื้นที่ของอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ที่อาจจะมีนัยแอบแฝงอยู่

สรุปคือ แผน SEA ที่สภาพัฒน์ฯ ได้ดำเนินการแล้วเสร็จและจะนำเสนอ ครม.ให้มีมติในการใช้เป็นแผนแม่บทในการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถ้า ครม.มีมติเห็นชอบ ก็จะกลายเป็นกับดักที่ขัดขวางการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามความต้องการของเอ็นจีโอ ซึ่งไม่ใช่ความเห็นของประชาชนในพื้นที่ และหาก SEA หรือแผนแม่บทฉบับนี้มีผลทางกฎหมาย ก็เท่ากับว่าคนจังหวัดชายแดนภาคใต้จะต้องจ่อมจมอยู่ในวิถีชีวิตแบบเดิมๆ อีก 5 ปี โดยที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงทั้งในเรื่องของพื้นที่และโครงสร้างของการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เพื่อแก้ปัญหาความยากจน คนว่างงาน คนตกงาน ก็คงทำไม่ได้

ดังนั้น ก่อนที่ ครม. จะมีการลงมติเพื่อรับแผนแม่บทในการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่จัดทำโดยสภาพัฒน์ฯ ก็ขอให้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบอีกครั้ง ที่สำคัญ สส.ทั้ง 9 เขตของสงขลาที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นในแผนแม่บทของการพัฒนาฉบับนี้แม้แต่น้อย

.......................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Pages