เจาะลึกสถานการณ์ความยากจนชายแดนใต้: วิจัยชี้ทางออกจากความเหลื่อมล้ำด้วยข้อมูลและนวัตกรรม - ข่าววันนี้

Post Top Ad

Share This

เจาะลึกสถานการณ์ความยากจนชายแดนใต้: วิจัยชี้ทางออกจากความเหลื่อมล้ำด้วยข้อมูลและนวัตกรรม

Share This


กดฟังเสียงบทความนี้ (6.24 นาที) :


พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ซึ่งประกอบด้วยปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ยังคงเผชิญกับปัญหาความยากจนที่รุนแรงและซับซ้อน

รายงาน "สถานการณ์ความยากจนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปี 2565 – 2567" ซึ่งเป็นผลผลิตจากโครงการวิจัยแก้จนโดยความร่วมมือของหลายมหาวิทยาลัยในพื้นที่และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ได้ฉายภาพความเหลื่อมล้ำที่หยั่งรากลึก พร้อมนำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน

ภาพรวมความยากจน: ความเหลื่อมล้ำที่น่ากังวล


ข้อมูลจากรายงานสถานการณ์ชี้ให้เห็นว่าภาคใต้เป็นภูมิภาคที่มีปัญหาความยากจนรุนแรงที่สุดในประเทศ โดยมีสัดส่วนคนจนสูงสุดถึงร้อยละ 10.9 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีสัดส่วนคนจนสูงถึงร้อยละ 32.80 ของประชากรทั้งหมด หรือเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรในพื้นที่ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศถึง 3.8 เท่า

ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ยังเป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญ ประชากรในพื้นที่นี้มีรายได้เฉลี่ยเพียง 5,725 บาทต่อเดือน ซึ่งต่ำกว่ารายได้เฉลี่ยของประเทศที่ 9,409 บาทต่อเดือนอย่างมาก 

ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มคนที่รวยที่สุดมีส่วนแบ่งรายได้สูงถึงร้อยละ 41.4 ของรายได้ทั้งหมดในภาค ในขณะที่กลุ่มคนที่จนที่สุดมีส่วนแบ่งรายได้เพียงร้อยละ 2 เท่านั้น สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างทางรายได้ที่กว้างถึง 20.6 เท่า

สาเหตุหลักของปัญหาความยากจนเชิงโครงสร้างประกอบด้วย:

  • สถานการณ์ความไม่สงบ: เหตุการณ์ความไม่สงบที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2547 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจ การลงทุน และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
  • การศึกษาและการพัฒนาคน: ระดับการพัฒนาคนในพื้นที่ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ โดยเฉพาะด้านการศึกษา ซึ่งเป็นปัจจัยฉุดรั้งการพัฒนาคุณภาพประชากร
  • โอกาสในการประกอบอาชีพ: การขาดโอกาสในการจ้างงานในพื้นที่ ทำให้เกิดการโยกย้ายแรงงานไปทำงานในประเทศมาเลเซีย หรือที่เรียกว่า "แรงงานต้มยำกุ้ง" ขณะที่ภาคเกษตรกรรมก็ประสบปัญหาการขาดแคลนที่ดินทำกิน
  • ภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: พื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดชายแดน เป็นพื้นที่เสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น อุทกภัยรุนแรงในเดือนธันวาคม 2566 ซึ่งซ้ำเติมความเดือดร้อนของครัวเรือนยากจน
  • ความยากจนข้ามรุ่น: ข้อจำกัดด้านการศึกษาและโอกาสในการทำงาน ทำให้วงจรความยากจนถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น และจำกัดโอกาสในการเลื่อนชั้นทางสังคม

นวัตกรรมแก้จน: พลังข้อมูลและกลไกความร่วมมือ


โครงการวิจัยนี้ได้พัฒนานวัตกรรมที่สำคัญคือ "แพลตฟอร์มขจัดความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำระดับจังหวัด (Provincial Poverty Alleviation Platform: PPAP)" ซึ่งเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาที่อาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยมีหัวใจสำคัญคือระบบข้อมูลครัวเรือนยากจนแบบชี้เป้าที่เรียกว่า PPPConnext

ระบบข้อมูลนี้ได้ทำการสำรวจและวิเคราะห์ปัญหาความยากจนโดยใช้ ฐานทุนการดำรงชีพ 5 ด้าน (Sustainable Livelihood Framework) ซึ่งข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2567 พบว่าสามจังหวัดชายแดนใต้มีครัวเรือนยากจนรวม 48,119 ครัวเรือน หรือ 249,300 คน โดยมีปัญหาที่น่าเป็นห่วงที่สุดในแต่ละด้านดังนี้

  • ทุนมนุษย์: มีคนจนที่ไม่ทักษะอาชีพสูงถึง 144,608 คน
  • ทุนกายภาพ: ครัวเรือนไม่มีที่ดินทำกิน 22,994 ครัวเรือน
  • ทุนเศรษฐกิจ: ครัวเรือนไม่มีเงินออม 32,494 ครัวเรือน และมีปัญหาหนี้สิน 24,104 ครัวเรือน
  • ทุนธรรมชาติ: บ้านพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ภัยพิบัติ 14,019 ครัวเรือน
  • ทุนสังคม: ขาดการช่วยเหลือเกื้อกูลกันในชุมชนสูงถึง 23,813 ครัวเรือน
  • "โมเดลแก้จน" สู่การปฏิบัติจริงในพื้นที่

จากฐานข้อมูลที่แม่นยำนำไปสู่การออกแบบ "โมเดลแก้จน" ที่สอดคล้องกับบริบทและศักยภาพของแต่ละพื้นที่ โดยมีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จเป็นรูปธรรมดังนี้

จังหวัดปัตตานี: พัฒนาโมเดล "ปัตตานียั่งยืน" ที่เน้นเศรษฐกิจชุมชนชายฝั่งทะเล ยกระดับการแปรรูปอาหารทะเล และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ เพื่อสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ครัวเรือนเป้าหมาย

จังหวัดยะลา: ขับเคลื่อนวาระ "ยะลาเมืองทุเรียน" และพัฒนาเศรษฐกิจบนฐานอัตลักษณ์พหุวัฒนธรรม เช่น ผลิตภัณฑ์ฮาลาล และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในอำเภอเบตง ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ

จังหวัดนราธิวาส: สร้างโมเดลที่ส่งเสริมทักษะอาชีพบนฐานทรัพยากรท้องถิ่น เช่น การเลี้ยงชันโรงเพื่อผลิตน้ำผึ้งคุณภาพสูง และการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากขิงเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและรายได้ที่ยั่งยืนให้แก่เกษตรกร

ความสำเร็จและก้าวต่อไป


โครงการวิจัยนี้ไม่เพียงสร้างองค์ความรู้ แต่ยังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับปฏิบัติการ โดยเกิดกลไก "นักบริหารจัดการเชิงพื้นที่ (Area Manager)" ซึ่งเป็นบุคลากรในท้องถิ่นที่ทำหน้าที่ประสานงานและขับเคลื่อนการแก้ปัญหาความยากจนอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ยังเกิดการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคเอกชน และประชาสังคมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ความท้าทายข้างหน้าคือการขยายผลความสำเร็จเหล่านี้ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และสร้างความยั่งยืนให้กลไกที่สร้างขึ้นสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป้าหมายสูงสุดคือการทำให้พี่น้องในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้สามารถหลุดพ้นจากวงจรความยากจน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง

..................................

อ่านงานวิจัยฉบับเต็มได้ที่  -->  https://pmua.or.th/17769

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Pages