
บทความ โดย.. ไชยยงค์ มณีพิลึก
เหตุการณ์ปล้นร้านทองในห้างบิ๊กซี เมื่อไม่กี่วันมานี้ที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส กองกำลังติดอาวุธบีอาร์เอ็นกวาดทองรูปพรรณน้ำหนักราว 600 บาท หรือคิดเป็นเงินกว่า 35 ล้านบาทไปได้ หากพิจารณาจังหวะก้าวจะพบว่า เป็นการฉวยโอกาสปฏิบัติการในช่วงที่ทั้งหน่วยทหารและตำรวจที่กำกับดูแลกำลังมีการเปลี่ยนถ่ายผู้นำ
ประกอบด้วยตำแหน่งสำคัญฝ่ายทหารคือ “แม่ทัพภาคที่ 4” ที่ต้องทำหน้าที่ “ผอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ด้วย ได้คนใหม่ข้ามห้วยมาจากอดีต “รองแม่ทัพภาคที่ 2” ขณะที่ตำแหน่ง “ผบ.ฉก.นราธิวาส” ก็ข้ามห้วยมาจาก “รองแม่ทัพภาคที่ 1” ในส่วนฝ่ายตำรวจคือ “ผบก.ภ.จว.นราธิวาส” ได้คนใหม่ก็มาจาก “รอง ผบก.ภ.จว.ปัตตานี”
เป็นการฉวยโอกาสปฏิบัติการที่เหมาะเหม็งของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งสร้างกระแสข่าวได้อย่างครึกโครมยิ่งว่า เป็นการ "ต้อนรับ" ทั้งนายทหารและนายตำรวจคนใหม่ใน 3 ตำแหน่งสำคัญมากดังกล่าว
และหลังก่อเหตุก็ยังถอยร่นกลับข้ามไปยังฐานที่มั่นฝั่งประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างลอยนวล
ปรากฏการณ์นี้ยังแสดงให้เห็นชัดว่า การทำหน้าที่ของกองกำลัง “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ในการ “ซีล” หรือป้องกันแนวชายแดนไทย-มาเลเซียยัง “ล้มเหลวไม่เป็นท่า” โดยเฉพาะช่วงแนวแม่น้ำสุไหงโก-ลก ด้าน อ.แว้ง จ.นราธิวาส ที่กองกำลังติดอาวุธบีอาร์เอ็นใช้ข้ามแดนกลับรัง
เป็นที่น่าสังเกตว่าหลังจากนั้นยังตามมาด้วยการก่อเหตุ “วางระเบิดตู้เอทีเอ็ม” ธนาคารอิสลามใน ม.ฟาตอนี ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ซึ่งบีอาร์เอ็น “ประสงค์ต่อทรัพย์” เช่นเดียวกัน เหมือนที่เคยวางระเบิดตู้เอทีเอ็ม 9 แห่งทั่ว 3 จังหวัดชายแดนใต้มาแล้วเมื่อ 1 กันยายน 2568 ที่กวาดเงินไปได้หลายล้านบาท
ดังนั้นทั้งเหตุ “ปล้นทอง” และ “บึ้มตู้เอทีเอ็ม” ได้สร้างผลกระทบใหญ่ที่ตามมาคือ นอกจากฝ่ายบีอาร์เอ็นจะ “ทำลายเศรษฐกิจ” และ “ทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อเจ้าหน้าที่รัฐ” ได้แล้ว ยังทำให้ได้เงินจำนวนมากไป “หล่อเลี้ยง” กองกำลังติดอาวุธของขบวนการด้วย
นอกจากนี้ยังมีการ “เรียกค่าคุ้มครอง” ทั้งจากบรรดาผู้รับเหมาที่รับงานจากหน่วยงานของรัฐ และนักลงทุนในพื้นที่ด้วย ซึ่งก็ไม่ต่างจาก “พูโล” และกลุ่มแบ่งแยกดินแดนอื่นๆ เคยทำ เพียงแต่ให้เปลี่ยนเรียกชื่อใหม่จาก “ค่าสนับสนุนการปฏิวัติ” ของขบวนการในอดีตเท่านั้น
นี่คือความเปลี่ยนแปลงหลังล่วงเลยทศวรรษที่ 2 ของ “ไฟใต้ระลอกใหม่” กองกำลังบีอาร์เอ็นไม่ว่าจะเป็น “อาร์เคเค” หรือ “ฮารีเมา” หรือ “คอมมาโด” หรือ “เปอมูดอ-เปอมูดี” และ “แนวร่วม” พวกเขาล้วนมี “รายได้” เมื่อต้องปฏิบัติงาน “การเมือง” และ “การทหาร” ไม่ใช่แค่ใช้การ “ปลุกจิตวิญญาณ” อย่างในอดีตอีกต่อไป
มีเรื่องที่ต้องตั้งข้อสังเกตว่า “พล.ท.นรธิป โพยนอก” แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะ ผอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ผู้เป็นเสือข้ามห้วยมาจากกองทัพภาคที่ 2 ได้เรียกกองกำลังติดอาวุธที่ปล้นร้านทองในห้างบิ๊กซีที่ อ.สุไหงโก-ลกว่าเป็น “กองกำลังนอกบังคับ” ของขบวนการบีอาร์เอ็น
แต่ไม่ว่าจะเรียกชื่ออะไรก็ตาม บีอาร์เอ็นยังใช้กองกำลังที่ว่านี้ก่อวินาศกรรมได้เป็นปกติ ที่สำคัญทั้งฝ่ายทหารและตำรวจที่มีกองกำลังอยู่ในพื้นที่จำนวนมาก กลับยังไม่สามารถ ทั้ง “ป้องกันเหตุ” และ “ไล่ล่าให้จนมุม” หลังก่อเหตุได้
ตลอดแนวเส้นกั้นเขตแดนที่ใช้แม่น้ำสุไหงโก-ลกอ้างอิงจาก อ.แว้ง อ.สุไหงโก-ลกถึง อ.ตากใบ ยังมี “ท่าข้าม” หลายแห่งที่พวก “ขบวนการสีเทา-ดำ” ทั้งจากฝั่งไทยและมาเลเซียใช้กันอยู่ ทั้งที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด แรงงานเถื่อน น้ำมันเถื่อน วัวเถื่อน เหล้า-บุหรี่เถื่อน กระทั่งบุหรี่ไฟฟ้า เป็นต้น
ข้ออ้างที่ว่าถ้าซีลชายแดนเข้มงวดจะทำให้ขบวนการสีเทา-ดำได้รับผลกระทบ ผลประโยชน์ที่บีอาร์เอ็นเคยได้จากส่วนนั้นหายไป ทำให้ต้องปล้นร้านทองและบึ้มตู้เอทีเอ็มดังล่าว ประเด็นนี้มีทั้ง “เป็นไปได้” และ “เป็นไปไม่ได้” และก็ไม่เคยมีสิ่งยืนยัน เพราะทั้งขบวนและการเรียกค่าคุ้มครองดำเนินอยู่ได้มาตลอด
สำหรับในพื้นที่ 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวีและสะบ้าย้อย ในรอบ 21 ปีของไฟใต้ระลอกใหม่เคยเกิดเหตุปล้นร้านทองหลายครั้งจนแทบเป็นปรากฏการณ์ “ปกติ” แต่ที่ “ไม่ปกติ” กลับเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ “ไม่เคยจับมือใครดม” ได้เลย
นอกจากนี้มีข่าวยืนยันว่า แม้ทองรูปพรรณที่ถูกปล้นถูกนำข้ามฝั่งไปยังมาเลเซีย แต่ส่วนหนึ่งมีการแบ่งให้ “แนวร่วม” ในพื้นที่ด้วย อีกทั้งส่วนที่เหลือไม่ว่าจะถูกแปรรูปหรือไม่ มักถูกนำข้ามกลับมาขายยัง “ตลาดมืดไทย” นี่นับเป็นอีกเรื่อง “ไม่ปกติ” ที่ไม่เคยมีข่าวว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยไปขอความร่วมมือจากฝ่ายมาเลเซีย
ปรากฏการณ์นี้ยังแสดงให้เห็นชัดว่า การทำหน้าที่ของกองกำลัง “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ในการ “ซีล” หรือป้องกันแนวชายแดนไทย-มาเลเซียยัง “ล้มเหลวไม่เป็นท่า” โดยเฉพาะช่วงแนวแม่น้ำสุไหงโก-ลก ด้าน อ.แว้ง จ.นราธิวาส ที่กองกำลังติดอาวุธบีอาร์เอ็นใช้ข้ามแดนกลับรัง
เป็นที่น่าสังเกตว่าหลังจากนั้นยังตามมาด้วยการก่อเหตุ “วางระเบิดตู้เอทีเอ็ม” ธนาคารอิสลามใน ม.ฟาตอนี ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ซึ่งบีอาร์เอ็น “ประสงค์ต่อทรัพย์” เช่นเดียวกัน เหมือนที่เคยวางระเบิดตู้เอทีเอ็ม 9 แห่งทั่ว 3 จังหวัดชายแดนใต้มาแล้วเมื่อ 1 กันยายน 2568 ที่กวาดเงินไปได้หลายล้านบาท
ดังนั้นทั้งเหตุ “ปล้นทอง” และ “บึ้มตู้เอทีเอ็ม” ได้สร้างผลกระทบใหญ่ที่ตามมาคือ นอกจากฝ่ายบีอาร์เอ็นจะ “ทำลายเศรษฐกิจ” และ “ทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อเจ้าหน้าที่รัฐ” ได้แล้ว ยังทำให้ได้เงินจำนวนมากไป “หล่อเลี้ยง” กองกำลังติดอาวุธของขบวนการด้วย
นอกจากนี้ยังมีการ “เรียกค่าคุ้มครอง” ทั้งจากบรรดาผู้รับเหมาที่รับงานจากหน่วยงานของรัฐ และนักลงทุนในพื้นที่ด้วย ซึ่งก็ไม่ต่างจาก “พูโล” และกลุ่มแบ่งแยกดินแดนอื่นๆ เคยทำ เพียงแต่ให้เปลี่ยนเรียกชื่อใหม่จาก “ค่าสนับสนุนการปฏิวัติ” ของขบวนการในอดีตเท่านั้น
นี่คือความเปลี่ยนแปลงหลังล่วงเลยทศวรรษที่ 2 ของ “ไฟใต้ระลอกใหม่” กองกำลังบีอาร์เอ็นไม่ว่าจะเป็น “อาร์เคเค” หรือ “ฮารีเมา” หรือ “คอมมาโด” หรือ “เปอมูดอ-เปอมูดี” และ “แนวร่วม” พวกเขาล้วนมี “รายได้” เมื่อต้องปฏิบัติงาน “การเมือง” และ “การทหาร” ไม่ใช่แค่ใช้การ “ปลุกจิตวิญญาณ” อย่างในอดีตอีกต่อไป
มีเรื่องที่ต้องตั้งข้อสังเกตว่า “พล.ท.นรธิป โพยนอก” แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะ ผอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ผู้เป็นเสือข้ามห้วยมาจากกองทัพภาคที่ 2 ได้เรียกกองกำลังติดอาวุธที่ปล้นร้านทองในห้างบิ๊กซีที่ อ.สุไหงโก-ลกว่าเป็น “กองกำลังนอกบังคับ” ของขบวนการบีอาร์เอ็น
แต่ไม่ว่าจะเรียกชื่ออะไรก็ตาม บีอาร์เอ็นยังใช้กองกำลังที่ว่านี้ก่อวินาศกรรมได้เป็นปกติ ที่สำคัญทั้งฝ่ายทหารและตำรวจที่มีกองกำลังอยู่ในพื้นที่จำนวนมาก กลับยังไม่สามารถ ทั้ง “ป้องกันเหตุ” และ “ไล่ล่าให้จนมุม” หลังก่อเหตุได้
ตลอดแนวเส้นกั้นเขตแดนที่ใช้แม่น้ำสุไหงโก-ลกอ้างอิงจาก อ.แว้ง อ.สุไหงโก-ลกถึง อ.ตากใบ ยังมี “ท่าข้าม” หลายแห่งที่พวก “ขบวนการสีเทา-ดำ” ทั้งจากฝั่งไทยและมาเลเซียใช้กันอยู่ ทั้งที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด แรงงานเถื่อน น้ำมันเถื่อน วัวเถื่อน เหล้า-บุหรี่เถื่อน กระทั่งบุหรี่ไฟฟ้า เป็นต้น
ข้ออ้างที่ว่าถ้าซีลชายแดนเข้มงวดจะทำให้ขบวนการสีเทา-ดำได้รับผลกระทบ ผลประโยชน์ที่บีอาร์เอ็นเคยได้จากส่วนนั้นหายไป ทำให้ต้องปล้นร้านทองและบึ้มตู้เอทีเอ็มดังล่าว ประเด็นนี้มีทั้ง “เป็นไปได้” และ “เป็นไปไม่ได้” และก็ไม่เคยมีสิ่งยืนยัน เพราะทั้งขบวนและการเรียกค่าคุ้มครองดำเนินอยู่ได้มาตลอด
สำหรับในพื้นที่ 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวีและสะบ้าย้อย ในรอบ 21 ปีของไฟใต้ระลอกใหม่เคยเกิดเหตุปล้นร้านทองหลายครั้งจนแทบเป็นปรากฏการณ์ “ปกติ” แต่ที่ “ไม่ปกติ” กลับเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ “ไม่เคยจับมือใครดม” ได้เลย
นอกจากนี้มีข่าวยืนยันว่า แม้ทองรูปพรรณที่ถูกปล้นถูกนำข้ามฝั่งไปยังมาเลเซีย แต่ส่วนหนึ่งมีการแบ่งให้ “แนวร่วม” ในพื้นที่ด้วย อีกทั้งส่วนที่เหลือไม่ว่าจะถูกแปรรูปหรือไม่ มักถูกนำข้ามกลับมาขายยัง “ตลาดมืดไทย” นี่นับเป็นอีกเรื่อง “ไม่ปกติ” ที่ไม่เคยมีข่าวว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยไปขอความร่วมมือจากฝ่ายมาเลเซีย
จึงหวังว่าเหตุปล้นร้านทองครั้งล่าสุดนี้ “ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า (ศปก.ตร.สน.)” จะติดตามคดีจนจับคนร้ายและนำทองกลับมาได้ โดยไม่ปล่อยให้บีอาร์เอ็นฉวยไปทำไอโอให้ชาวบ้านเชื่อเหมือนที่ผ่านๆ มาว่า เจ้าหน้าที่มีส่วนร่วมกับโจร อันจะเป็นการสร้าง “ตราบาป” ตอกย้ำไว้อีกคำรบ
เวลานี้บีอาร์เอ็นยังปฏิบัติการก่อกวนต่อเนื่องทุกรูปแบบ จากก่อเหตุสร้างสถานการณ์รายวัน บ่อยครั้งก็จัดใหญ่ถึงในเขตเมือง เหมือนต้องการบอกเป็นนัยว่า ทุกเมืองเศรษฐกิจในชายแดนใต้ ไม่ว่าเขตเทศบาลนครหรือเทศบาลเมืองล้วนไม่ปลอดภัย
เวลาราชการที่เหลือไม่ถึง 1 ปีของ “พล.ท.นรธิป โพยนอก” แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะ ผอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่ได้ประกาศ “นโยบายดับไฟใต้” ไปแล้ว 4-5 ประการ แต่กลับ “ยังไม่โดนใจประชาชน” เพราะเป็นนโยบายที่แทบไม่แตกต่างจากอดีตแม่ทัพภาคที่ 4 คนก่อนๆ เคยประกาศใช้มาแล้ว
ดังนั้นสังคมควรจะปล่อยให้ “เลี้ยงไข้ไฟใต้” กันไปอีกราว 1 ปีเพื่อรอเกษียณ หรือควรต้องหาคนมาร่วมรับผิดชอบ ซึ่งก็คงไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก “พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์” ผบ.ทบ. ที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นและเห็นชอบให้ส่ง “พล.ท.นรธิป โพยนอก” ข้ามห้วยมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่นั่นเอง
.............................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น