วิเคราะห์คู่ขนาน: ความเหมือนและความต่างในวิกฤตความมั่นคงไทย-กัมพูชาและจังหวัดชายแดนใต้ - ข่าววันนี้

Post Top Ad

Share This

วิเคราะห์คู่ขนาน: ความเหมือนและความต่างในวิกฤตความมั่นคงไทย-กัมพูชาและจังหวัดชายแดนใต้

Share This

 


สถานการณ์ความมั่นคงของประเทศไทยในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ถูกท้าทายจากปัญหาใหญ่สองประการที่เกิดขึ้นบริเวณชายขอบของประเทศ นั่นคือ สถานการณ์การสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชา และ ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้ทั้งสองกรณีจะเกี่ยวข้องกับการใช้กำลังอาวุธและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่ามีทั้งความเหมือนและความแตกต่างในมิติที่สำคัญยิ่ง ทั้งในแง่ของรากเหง้าของปัญหา คู่ขัดแย้ง และแนวทางการจัดการ

ความแตกต่าง: "รัฐต่อรัฐ" ปะทะ "รัฐต่อขบวนการ"

ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่างสองสถานการณ์นี้ คือ ลักษณะของคู่ขัดแย้ง และ ธรรมชาติของความขัดแย้ง

สถานการณ์ไทย-กัมพูชา เป็นความขัดแย้งระหว่าง รัฐชาติ (State vs. State) สองประเทศ คือราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีประเด็นหลักอยู่ที่ ข้อพิพาทเรื่องเขตแดนและอธิปไตยเหนือดินแดน ซึ่งมีรากฐานมาจากความคลุมเครือของสนธิสัญญาที่ทำในสมัยอาณานิคมฝรั่งเศส[1]. จุดปะทุสำคัญมักเกี่ยวข้องกับพื้นที่ทับซ้อน โดยเฉพาะบริเวณรอบปราสาทพระวิหาร รวมถึงปราสาทตาเมือนธมและตาควาย[2][3]. การเผชิญหน้าจึงเป็นการใช้กำลังทหารของทั้งสองฝ่ายอย่างเปิดเผย มีการปะทะกันตามแนวชายแดนหลายครั้ง โดยเฉพาะเหตุการณ์รุนแรงในปี พ.ศ. 2554 และล่าสุดในปี พ.ศ. 2568[1][3].

ในทางกลับกัน ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นความขัดแย้งภายในรัฐ (Intra-state Conflict) ระหว่าง รัฐไทยกับกลุ่มขบวนการก่อความไม่สงบ ซึ่งเป็นกลุ่มพลังที่ไม่ใช่รัฐ (Non-state Actors)[4]. รากเหง้าของปัญหามีความซับซ้อนและหยั่งรากลึกในประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ ชาติพันธุ์ และศาสนา[5]. กลุ่มขบวนการไม่ได้ต่อสู้เพื่ออ้างสิทธิ์ในดินแดนบนฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ แต่มีเป้าหมายที่เชื่อมโยงกับความรู้สึกไม่เป็นธรรมทางประวัติศาสตร์ ความแตกต่างทางวัฒนธรรม และความต้องการอัตลักษณ์หรือการปกครองตนเอง[6][7]. การต่อสู้จึงมีลักษณะเป็น "สงครามนอกแบบ" หรือการก่อความไม่สงบ ที่มุ่งเป้าไปยังเจ้าหน้าที่รัฐและพลเรือนผู้บริสุทธิ์เพื่อสร้างความหวาดกลัวและบ่อนทำลายอำนาจรัฐ[8].

แนวทางการจัดการ: "เวทีโลก" และ "การเมืองนำการทหาร"

แนวทางการบริหารจัดการความขัดแย้งของทั้งสองกรณีสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างของคู่ขัดแย้งและธรรมชาติของปัญหาอย่างชัดเจน

กรณีไทย-กัมพูชา การแก้ไขปัญหามักดำเนินผ่านกลไกความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งรวมถึง:

  • การเจรจาทวิภาคี: ผ่านกลไกอย่างคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) เพื่อลดความตึงเครียดและหาทางออกร่วมกัน[2][9].

  • กระบวนการทางกฎหมายระหว่างประเทศ: ทั้งสองฝ่ายเคยนำกรณีพิพาทปราสาทพระวิหารเข้าสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ซึ่งคำตัดสินของศาลมีผลผูกพันทางกฎหมาย[3][10].

  • บทบาทขององค์กรระดับภูมิภาคและนานาชาติ: อาเซียนและสหประชาชาติเข้ามามีบทบาทในการเรียกร้องให้ใช้สันติวิธีและส่งผู้สังเกตการณ์เข้ามาในพื้นที่[3][11].

จะเห็นได้ว่า การจัดการความขัดแย้งไทย-กัมพูชาให้ความสำคัญกับการทูตและกฎหมายระหว่างประเทศเป็นเครื่องมือหลัก แม้จะมีการใช้กำลังทหารตอบโต้กันก็ตาม[10].

ส่วนสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐบาลไทยใช้นโยบายแบบผสมผสานที่ให้ความสำคัญกับ "การเมืองนำการทหาร" ตามยุทธศาสตร์พระราชทาน "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา"[12]. แนวทางหลักประกอบด้วย:

  • การบังคับใช้กฎหมายและปฏิบัติการทางทหาร: เพื่อรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและกดดันกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ[6].

  • การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม: เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ และขจัดเงื่อนไขที่เอื้อต่อการใช้ความรุนแรง[6][13].

  • กระบวนการสันติภาพ: รัฐบาลได้จัดตั้งคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเจรจากับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ ซึ่งถือเป็นวาระแห่งชาติ โดยมุ่งหวังที่จะหาทางออกจากความขัดแย้งด้วยสันติวิธี[12][13].

  • การสร้างความเข้าใจในสังคมพหุวัฒนธรรม: ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันบนความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรมและศาสนา[12].



แนวทางแก้ปัญหาไฟใต้จึงเป็นการบูรณาการหลายมิติ ทั้งความมั่นคง การพัฒนา และการพูดคุยสันติภาพ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของการจัดการความขัดแย้งภายในประเทศ[14].

ความเหมือน: "ชีวิตผู้คน" และ "ผลกระทบทางเศรษฐกิจ"

แม้จะมีความแตกต่างในหลายมิติ แต่ทั้งสองสถานการณ์ก็มีจุดร่วมที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านผลกระทบที่เกิดขึ้น

ทั้งการสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาและการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ ล้วนนำมาซึ่ง ความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน ของทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนผู้บริสุทธิ์[3][14][15]. ประชาชนในพื้นที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัว มีการอพยพย้ายถิ่นชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย และหลายคนได้รับผลกระทบทางจิตใจจากความรุนแรงที่ยืดเยื้อ[1].

นอกจากนี้ ทั้งสองเหตุการณ์ยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อ เศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดน ไม่ว่าจะเป็นการค้าชายแดน การท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นของนักลงทุน[16]. การปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาทำให้การค้าบริเวณด่านต่างๆ ต้องหยุดชะงัก เช่นเดียวกับเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ที่ทำให้เศรษฐกิจในพื้นที่ซบเซาและฉุดรั้งการพัฒนามาอย่างยาวนาน[16].

บทสรุป

โดยสรุป การสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชาเป็น ความขัดแย้งระหว่างรัฐ ที่มีประเด็นหลักคือเรื่อง เขตแดนและอธิปไตย ซึ่งจัดการผ่านกลไกทางการทูตและกฎหมายระหว่างประเทศเป็นสำคัญ ขณะที่ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้คือ ความขัดแย้งภายใน ที่มีรากมาจาก ประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ ซึ่งต้องใช้แนวทางแบบบูรณาการที่เน้นการเมืองนำการทหารและการพัฒนาควบคู่ไปกับการพูดคุยสันติภาพ

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองกรณีต่างสร้างบาดแผลและความสูญเสียให้กับผู้คนในพื้นที่ และเป็นโจทย์ท้าทายด้านความมั่นคงที่ประเทศไทยต้องบริหารจัดการด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ เพื่อนำไปสู่สันติภาพและเสถียรภาพที่ยั่งยืนบนชายขอบของประเทศต่อไป


อ้างอิง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Pages